เราเป็นเพื่อนยามเหงา เราจะทำให้คุณรู้จักตัวเอง เราจะสร้างความรู้สึกดีๆให้แก่ชีวิตคุณ บทความบล็อกนี้จะเขียนเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงา สอนการเลือกคู่ครองและแนะนำบทเรียนดีดี
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
เมื่อไหร่ฉันควรจะแต่งงานดี?
คุณค่าของการแต่งงาน
1.การแต่งงานเป็นวิธีที่พระเจ้าประทานความสุขให้มนุษย์ หลังจากความผิดพลาดบาปของมนุษย์ในสวนเอเดน (ปฐก.1:28)
2พระคัมภีร์กล่าวว่า ใครพบภรรยาดีก็พบสิ่งที่ดีและเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า (สภษ.18:22)
3.การแต่งงาน อย่าเป็นไปอย่างเร่งรีบ พระเจ้าไม่รั้งรอในการที่จะตั้งครอบครัวคริสเตียนและสืบสกุลลูกหลาน ที่จะเป็นที่ให้ความสุขได้
4.สถาบันการแต่งงานได้จัดตั้งขึ้น ในสมัยตั้งแต่บรรพบุรุษมานานเก่าก่อนและเป็นสถาบันที่เก่าแก่กว่าคริสตจักรและการปกครอง
5.เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต่ำทรามลงกว่ามาตรฐาน ดังนั้น ครอบครัวการแต่งงานจึงแตกหักได้ง่าย มาตรฐานของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เราจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลง
เหตุผลที่ต้องแต่งงาน
การแต่งงานเกี่ยวข้องกับแผนงานของพระเจ้า
เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่สร้างหญิงม่ายเพื่อช่วยชาย(ไม่แน่ใจว่าคือไร)
การมีครอบครัวที่เป็นคริสเตียน เป็นการ
เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า (ปฐก.1:28) พระเจ้าตรัสว่า “จงมีลูกดกเต็มแผ่นดิน”
เพื่อมีคู่อุปถัมภ์ (ปฐก.2:18) พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่ชายจะอยู่คนเดียว”
เพื่อเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ สองคนดีกว่าคนเดียว ถ้าอีกคนล้มลง อีกคนหนึ่งจะพยุงกัน ให้ลุกขึ้น (ปญจ.4:9-10) พระเจ้าทรงให้คนทั้งสองเป็นกายเดียวกัน (ปฐก.2:24)
ทำให้พึงพอใจในด้านชีววิทยา (เพศ, อารมณ์ของมนุษย์ควรดูแลเอาใจใส่ให้อบอุ่น) มนุษย์เกิดมาต้องการสิ่งที่ดี การแต่งงานที่บริสุทธิ์และถูกต้องตามกฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยพิธีแต่งงาน
เพื่อพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ (ปฐก.1:28, 9:1)
คริสเตียนควรแต่งกับคริสเตียน
2คร.6:14 อย่าเข้าเทียมแอกกับผู้ที่ไม่เชื่อ
คนชอบธรรมกับคนอธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว เขาจะรับใชัพระเจ้าได้อย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งรับใช้ซาตานและความบาป
แต่งงานเมื่อไหร่
เมื่อพระเจ้าทรงนำ หลังจากที่อธิษฐานอย่างมากและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว
เมื่อรู้จักคนรักเพียงพอ รู้ว่าเขา/เธอชอบหรือไม่ ชอบอะไร อย่ารีบเร่งเกินไปจะอันตราย
รอคอยจนกว่าจะรักเขาจริง การแต่งงานเพื่อชีวิตและการอยู่ร่วมกันสร้างสรรค์ความรัก (1คร.13)
จะทำให้ครอบครัวมีสุข
ระหว่างรอคอย ให้ระวังการผิดทางจริยธรรมเพราะจะทำให้เกิดความขมขื่นและทำลายชีวิตการแต่งงานให้ล้มเหลวและไม่มีความสุขได้
จ. รอคอยจนกว่าอายุจะเหมาะสมที่จะแต่งงาน การแต่งงานเป็นเรื่องของคนที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กเพราะต้องสนใจรับผิดชอบ และสามารถตอบสนองความต้องการของกันและกันได้
ช. การแต่งงานต้องการร่างกายที่แข็งแรง คู่แต่งงานต้องการการเอาใจและความรัก
ซ. รอเวลาที่จะได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง
ฌ. รอคอยการเงินจนกว่าจะมั่นคง แต่ไม่ใช่ว่าจนกว่าจะร่ำรวย
การสมรสที่มีความสุข
1. พื้นฐานการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริงเกิดจากการยินยอมและการตกลงของทั้งสองฝ่าย บิล บรันเนอร์ นักสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า “ความสัตย์ซื่อต่อกันทั้งในทางความประพฤติและทางใจ เป็นคุณธรรมที่ประกันความยั่งยืนแห่งชีวิตการสมรส”
2. ควรมีเป้าหมายเป็นครอบครัวคริสเตียนที่แท้จริง คือสามีเป็นศีรษะของครอบครัวและภรรยา เป็นผู้ช่วยในครอบครัว
3. ควรมีพื้นฐานในชีวิตทุกขณะคือ การคาดหมาย อย่ารอเวลา รอคอยให้สั่งเพราะการแต่งงานไม่ใช่การทดลองเวลาสั้นๆแต่ระยะยาว
4. ความสุขจากการแต่งงานตามพระวจนะของพระเจ้าคือ “ลูก” ที่พระองค์ประทานให้ (สดด.127:3-5)
5. แท้จริงความรักเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการสมรส (อฟ.5:25) สามีควรรักภรรยา (ตต.2:4)นู๋ว่าข้อพระคำเหมือนจะผิด และภรรยาควรรักสามี
6. การหมั้นนั้นเป็นสิ่งที่มีเกียรติยศ และน่ายินดีและการแต่งงานเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น หนุ่มจึงควรเข้าสู่พิธีแต่งงาน ให้พิจารณาเห็นถึงความสำคัญ
7. อย่ารบเร้าให้รีบเร่งการแต่งงาน อย่าหนีตามกันไปและอย่าอยู่ร่วมกันเฉยๆ
8. ทั้งคู่ควรยินยอมให้การแต่งงานเลื่อนไปจนกว่าจะมีอายุเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง
9. ควรแสดงท่าทีอยู่เสมอว่า ในการกระทำ การแสดงออก แต่ไม่ใช่เกี่ยวกับด้านร่างกายหรือด้านเพศ
การปฏิบัติตนต่อคู่รัก-คู่หมั้น
จากคู่รัก สู่ คู่หมั้น (เราจะแสดงตัวว่าเป็นคู่รักกันเมื่อไหร่?)
จากการที่ทั้งสองรู้จักศึกษากันตามสมควร เมื่อเห็นว่า พระเจ้าทรงนำและไตร่ตรองดีแล้ว ควรแสดงตัวได้
ไม่ควรเลิกคบเพื่อนต่างเพศเก่าๆ แต่ให้มีมนุษยสัมพันธ์พอดีๆไม่ปล่อยตัว
ควรจะทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการวางรากฐาน ฐานะชีวิตสมรส
แสดงความรักไม่เกี่ยวกับร่างกายแม้แต่น้อย ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้านร่างกาย ควรสงวนสิทธิพิเศษนี้ไว้หลังแต่งงาน เกลือกว่าความรัก จะกลายเป็นความเกลียด และความยอมรับนับถือต่ำลง (2ซมอ.13:15) แต่เกี่ยวข้องกับการให้คำปรึกษา, ความสนใจสนทนา, ให้ของขวัญเล็กๆน้อยๆ
ควรอยู่ในสายตาผู้ใหญ่
ไม่ไปไหนสองต่อสองลับตาคน (ควรไปที่ที่เปิดเผย มีความรับผิดชอบ เคารพต่อกันและกัน)
สัตย์ซื่อในการไปหาที่ปรึกษาประจำ
ควรเป็นเวลาที่ประกาศต่อสังคมว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันก่อนล่วงหน้าประมาณหนึ่งปี
ทั้งคู่ทำความคุ้นเคย ค้นหาสิ่งที่จะช่วยเหลือ ซึ่งกันและกันในการสมรส
เป็นการดีจะสัญญา ให้ความแน่ใจต่อคู่หมั้น โดยบอกหรือคุยแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการแต่งงาน
ระวัง หลีกเลี่ยง การจูบ การพลอดรัก อารมณ์ทางเพศ การยั่วเย้า และระวังสถานที่ไป ที่จะนำไปสู่การทดลอง และการกระทำที่เสื่อมทราม
ไม่ควรกีดกั้นสิทธิพิเศษของคู่รักส่วนตัว เช่น การอธิษฐาน แจกใบปลิว เป็นพยาน การรับใช้พระเจ้า ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในอนาคต (แต่ต้องแบ่งเวลา มีวินัยถูกต้อง)
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
เพื่อนรายวันก็สำคัญเท่าแฟน
เพื่อนรายวันก็สำคัญเท่าแฟน
ขณะที่ท่านยัง ไม่ได้แต่งงาน คบหาแฟนอยู่ และยังไม่มั่นใจว่าจะแต่งงานกันหรือ จะหมั้นกัน สรุปง่ายๆคือ การคบกันระดับหนึ่ง แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ ถึงความแน่นอน แต่ก็รักชอบกัน แต่ในระยะนี้ อุปนิสัยบางอย่างที่เราจะเริ่ม พบก็คือ ความสม่ำเสมอ และอีกระยะที่ยาวนานคือ ความทุ่มเท ในการสื่อสาร สนใจอาจจะห่างไป หนุ่มสาวหลายคู่ เริ่มเกิดความสงสัย ระหองระแหง หรือแคลงใจ แมสเสจ ที่เคยส่งมาประจำ เริ่มไม่ค่อย ส่ง การโทรศัพท์ที่โทรมาทุกวัน เริ่มห่างๆ จาก หนึ่งวัน สองวัน หรือ เป็นสัปดาห์ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่า ระยะเวลานี้ ทั้งคู่ยังมีสิทธิ ที่จะมีเพื่อน บางคน ปักใจปักหลัก รอและรอ จนไม่เป็นอันกินอันนอน พลังในการอธิษฐานหมดไป ไม่มีใจอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ในการทำงาน ทุกอย่างดูเหมือนนาฬิกาถ่าน ที่มันใกล้จะหมด และหยุดหมุน และเราก็รู้สึกว่า เรียกร้องอะไร ไม่ได้ กลัวจะเป็นปัญหา ประเด็นใหม่ขึ้นมา ในการทะเลาะและเข้า ใจกันผิด หรือ อีกฝ่าย คิดอย่างไรเราก็ไม่รู้ ก็ทำไมละ เพราะท่านทั้งสองคนยังเป็นแค่แฟนระยะเริ่มต้น ยังไม่มีอำนาจ ทางกายซึ่งกันและกัน อาการ ที่ตามมาก็คือ ความเหงา ความว่างเปล่า เหมือนอยู่ตัวคนเดียว
การแก้ไข ก็คือ เพื่อน รอบข้าง ไงละครับ ในความหมายคำว่าเพื่อนของผมนั้น อาจแตกต่างกับท่าน เพราะ คำว่าเพื่อนของผม คือ บางคนอาจจะอายุมากกว่า การงานสูงกว่า แต่ เวลาเราคุยกัน คบกัน เปรียบเสมือนเพื่อน เอาอายุ และหน้าที่การงานออกไป เชื่อไหมว่า บางท่าน ยังเป็นเพื่อนที่ คุยสนุกเหมือนวัยเดียวกัน และต่างกับเพื่อนบางคนที่อายุเท่ากัน แต่คุยไม่เข้ากันเลย หรือ เพื่อนรุ่นน้อง ที่อายุน้อยกว่า กลับเป็นผู้ใหญ่กว่า เพื่อนบางคนที่วัย และหน้าที่การงานเท่ากัน แต่กลับคุยไม่รู้เรื่อง
หากท่าน คิดแบบผมได้ จะเห็นว่า เพื่อน รอบข้างเรา เต็มไปหมด แต่ละวัน พระเจ้าจะทรงนำใคร ที่จะเข้ามา คุย ให้เราเปิดใจรับ สิ่งใหม่ๆ อย่าปิดโอกาส ที่ดีในชีวิตเพราะคนๆเดียวเลยครับ เพราะเราต้องมีความสุข เพื่อสุขภาพจิตใจที่ดี ก็มีผล ต่อรางกายที่ดีด้วย ดังนั้น เราจะมีเพื่อน สามระดับ คือ ระดับใกล้ชิด ที่พูดคุย แบ่งปันกันทุกวัน ระดับห่างๆ ก็นานๆคุยทุกกันโทรบ้าง ระดับนี้ก็สลับกันไปมา และระดับ แวะทักทย คือ นานๆก็แวะมาทักโทรมาคุย สรุปหาก เรา รักษาความสัมพันธ์ได้ทั้งสามระดับ อย่าปฎิเสธ เพวกเขา เมื่อท่าน เริ่มจะมีแฟน วันหนึ่ง แฟนท่าน เขาเริ่ม แสดง นิสัยหรือมีอาการเครื่องรวน ไม่สม่ำเสมอ หรือมีเหตุผลอะไร สักอย่าง ที่จะสื่อสาร ติดต่อกับท่าน เพื่อนราย วัน ทั้งสามระดับ ที่จะนำอะไรใหม่ๆ และเติมเต็มอย่างน้อย ก็รู้ว่า มีคนคิดถึงท่าน ชดเชย แฟน หรือคนที่เราคิดว่า รัก ได้ เป็นร้อยเท่า แล้วท่านกล้าคิดมุมมองใหม่ไหมละครับ ว่า ยังมีคนดีๆโอกาสดีๆรอบข้าง ที่พระเจ้าจะนำมา ให้แก่ท่าน และรักษา สัมพันธ์อันดีนี้ไว้ ให้ยาวนาน จนกว่าท่านจะแต่งงานกันค่อยว่ากันอีกที เพราะตอนนั้น การทุ่มเท ให้แก่ครอบครัวเป็นที่หนึ่งแล้ว เรื่อง เพื่อนสามระดับ ค่อยว่ากันอีกที สำหรับบางท่าน วันนี้เอาตัวให้รอดจาก ความเหงา การรอคอย ใครบางคนเสียก่อน ที่พลังในตัวท่านจะหมดไป และอย่าลืม เปิดโอกาสสิ่งใหม่ๆ ที่พระเจ้าให้แก่ท่านละครับ
วิธีป้องกันการทดลอง
ก.อย่าประมาทคิดว่าตนควบคุมอารมณ์ได้
ตัวอย่าง ดาวิดผู้รับใช้พระเจ้าที่รักพระเจ้ามากที่สุดเข้มแข็งที่สุดก็ล้มลงเพราะเรื่องนี้ แซมสัน บุคคลที่แข็งแรงที่สุดในโลก ก็ล้มเพราะเรื่องนี้ ซาโลมอน บุคคลที่ฉลาดและมีความเข้าใจที่สุดในด้านสติปัญญาก็ล้มมาแล้ว
พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างไร (2ทธ.3:2)
ข.ควรที่จะจดจำพระดำรัสพระคำพระเจ้าหมกมุ่นในทางบริสุทธิ์ (สดด.119:1)
ตัวอย่าง องค์พระเยซูคริสต์
อยู่ใต้การปกครองของพ่อแม่ และทรงสนพระทัยในทางพระศาสนา (ลก.2:51,52)
ค.อย่าให้โอกาสแก่มาร (อฟ.4:27)
ต่อไปนี้เราจะศึกษา มาดูขั้นตอนการล้มลงของดาวิด (2ซมอ.11:1-5)
1 เวลาว่าง
2 มอง
3 ดู
4 ลงมือ
ง.อย่าปล่อยเวลาให้ว่าง (11:2)
เราจะดูว่าดาวิดไม่ไปรบเพราะเป็นฤดูรบ เป็นเวลาที่ทหารทุกคนจะไปรบ แต่ดาวิดไม่ไป จึงเข้าสู่การทดลอง
“2ทิโมธี 2:22 ฝ่ายผู้ชายควรอธิษฐานทุกแห่งด้วยใจบริสุทธิ์”
จ. อย่าเก็บไปคิด (11:2) ดาวิดได้เลี้ยงดูส่งเสริมความคิด เมื่อมองเห็นบัชเชบาอาบน้ำ
สุภาษิต 4:23 ในฉบับ KING JAMES แปลว่า “เขาคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”
สดุดี 1:2 ควรภาวนาพระคำพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน
มัทธิว5:29 ถ้าตาขวาของท่านหลงผิดให้ควักทิ้งเสีย
ฉ.ลงมือปฏิบัติ (11:3-5)
มัทธิว5:30
บาปอย่างที่หนึ่ง ดาวิดล่วงประเวณี๊ (11:4)
บาปอย่างที่สอง ดาวิดฆ่าคน (11:14)
ช.อย่าคิดว่าพระเจ้าเป็นความรักไม่ลงโทษ
แม้ดาวิดจะกลับใจ พระเจ้ายกโทษให้ (12:13)
ผลตอบสนองที่หนึ่ง เด็กที่เกิดมาตาย (2ซมอ.12:16)
ผลตอบสนองที่สอง ลูกสาวถูกข่มขืน (2ซมอ.13:1-15)
ผลตอบสนองที่สาม ภรรยาดาวิดถูกลูกชายเข้าร่วมนอนด้วย (2ซมอ.16:21-22)
ผลตอบสนองที่สี่ ลูกชายกบฎ (2ซมอ.15:1-35)
ด้วยเหตุนี้เอง การที่หนุ่มสาวพบปะกันนั้น ขณะรู้จักและเป็นคู่รักกัน
ระวังสถานที่ โอกาส
ควรคุยเรื่องที่เป็นประโยชน์นอกเหนือจากเรื่องเพศ การยั่วเย้าหยอกล้อ ซึ่งนำไปสู่การคิด การทดลอง
อย่าพรอดรักกัน
ให้เกียรติแก่ฝ่ายตรงข้าม ไม่หื่นกระหายด้วยอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ซ.เอาชนะการทดลองด้านเพศ
ควรหมั่นอธิษฐานถืออดอาหาร
มีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า
อธิษฐานทุ่มเทศึกษาพระคัมภีร์
ร่วมกิจกรรมรับใช้งานคริสตจักร
ให้ผู้ใหญ่ร่วมรับรู้และอธิษฐานเผื่อผู้อื่น
การทดลองทางเพศ
1.ความเข้าใจเรื่องเพศ
ปฐมกาล 2:18-25 พระเจ้าสร้างล้วนแต่ดี
เพศเป็นสิ่งบริสุทธิ์ พระเจ้าสร้างมาเพื่อมนุษย์ เพื่อจะมอบความสุขให้แก่กันและกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในความคิดจากจิตวิญญาณ ปฐก.2:24
เพศเป็นสิ่งที่ดี พระเจ้าทรงประทานให้ เพื่อให้มนุษย์จะขยายพันธุ์ของมนุษย์ตามพระพรที่พระองค์ประทานให้ ปฐก.1:28
เพศไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่มนุษย์ทำบาป โน้มแนวความคิดจึงกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ปฐก.5:5
II. สิ่งที่คู่รักต้องเข้าใจ
โดยเฉพาะการรู้จักกัน การเป็นคู่รักกัน การเป็นคู่หมั้นกันและก่อนแต่งงาน พระคัมภีร์ได้เตือนไว้ใน 2 ตอนอย่างน้อย
ก.ความบริสุทธิ์ (1ธส.4:3-6)
“นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ เว้นเสียจากการล่วงประเวณี ให้ท่านทุกคนรู้จักมีภรรยาในทางบริสุทธิ์และในทางมีเกียรติ
*มิใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า
*อย่าให้ผู้ใดทำล่วงเกินและทำผิดต่อพี่น้องในเรื่องนี้เลย เพราะพระเจ้าจะทรงลงโทษคนที่กระทำผิดอย่างนั้น “ใครปัดกฎนี้ทิ้งก็เหมือนปัดกฎขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ข.การสมรส (ฮีบรู.13:4)
*เป็นที่นับถือต่อคนทั้งปวง
*ให้เตียงสมรสปราศจากความชั่วช้า เพราะคนมีชู้
*คนล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าทรงพิพากษาเขา
ตัวอย่าง ดาวิดกับบัทเชบา เมื่อท่านทำผิดต่อพระเจ้า ทรงตีสอนและมีผลต่อการปกครองภายในครอบครัว และประเทศชาติของท่าน เนื่องจากบาปต่อไปนี้
ล่วงประเวณี / แย่งภรรยาอุรีอาห์
ฆ่าคนทางอ้อม / วางแผนฆ่าอุรีอาห์
โทษที่พระเจ้าทรงตีสอนคือ
*ลูกตาย
*ลูกชายกบฎ (อับซาโลม)
*ลูกชายแย่งบัลลังก์ (อัมโมน)
*ลูกชาย-หญิง ข่มขืนกัน (อัมโนน-ทามาร์)
III.สิ่งที่คู่รักควรระวัง คือ
ก่อนแต่งงาน สิ่งที่คู่รักควรปฏิบัติต่อกันนั้น ไม่ควรเกี่ยวข้องด้านร่างกาย เพราะยังไม่ใช่เวลาของมัน
ควรหลีกเลี่ยงจากคำพูดวาจาที่ยั่วเย้านำไปสู่การทดลอง ดังนั้นควรอยู่บนพื้นฐานพระวจนะ ศึกษาอย่างจริงจังและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ภาพบันไดสู่การบาป “ล่วงประเวณี”
1การจับมือถือแขน
2 กอด
3 จูบ
4 ล่วงประเวณี
ขั้นแรก การจับมือถือแขนดูตื่นเต้น ต่อไปก็กลายเป็นธรรมดา นำไปสู่การกอดและเมื่อเห็นว่าหมดความตื่นเต้น ก็จะก้าวลงสู่การทดลองที่อันตราย
จะพิสูจน์รักแท้ได้อย่างไร?
จะพิสูจน์รักแท้ได้อย่างไร?
1.เกิดขึ้นได้โดยอาศัยเวลาที่ยาวนาน เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทั้งยอมรับข้อผิดพลาดกันและกันได้
2ความรักที่แท้จริงจะสงบเงียบ ปลอดโปร่ง สามารถพึ่งพาได้ ยกย่อง อิ่ม ปิติสมบูรณ์ เมื่ออยู่ด้วยกัน
และมิใช่อารมณ์หวือหวา กระหาย เร่าร้อน มิใช่การแสดงออกโดยการจูบ กอด
3 ความรักที่แท้จริงคือ การมองดูอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง ตระหนักว่าทั้งสองมีข้อดีและเสีย และยอมรับข้อผิดพลาดซึ่งกันและกัน
4.มีความมั่นคงทางอารมณ์ จิตใจมีส่วนสำคัญ แยกแยะได้ว่า
-เป็นความรัก หรือเป็นเพียงการหลงเสน่ห์
-ความรักแท้จะลึกซึ้งเข้าใจกันและกันและมั่นคง
5.ความรักที่แท้คือ การร่วมทุกข์ด้วยกัน แต่การหลงเป็นเพียงการร่วมสุขด้วยกันเท่านั้น
จะพิสูจน์รักแท้ได้อย่างไร?
1.หากสงสัยอยู่ควรจะอยู่ห่างๆ รอคอยเวลาพิสูจน์ 2-3 เดือน ให้อารมณ์สงบลง
2.อย่าตัดสินใจอะไรลงไปเร็ว ว่าอะไรเป็นอะไร
คริสเตียนควรมีความรักอย่างไร?
พระคัมภีร์ใหม่กล่าวหลายข้อเกี่ยวกับความรัก เช่น ให้รักพระเจ้าผู้เดียว (มธ.6:24) ความรักต้องตั้งอยู่บนความกตัญญู (ลก.7:42,47) ความรักที่เชื่อฟังและต้องแสดงออก (ยน.14:15, 1ยน.4:12,20)
ความรักของคริสเตียน-ความรักแบบอากาเป้
เป็นความรักของพระเจ้าและเป็นความรักของคริสตชน ไม่มีใครจะมีจริยธรรมที่ดี เช่นนี้ได้ นอกจากว่าจะเป็นคริสเตียนที่มีความรักของพระเจ้าเป็นแบบอย่าง
เป็นเครื่องหมายของชีวิตคริสเตียนคือ รักกันและกัน (ยน.13:34)
เป็นความรักที่เสียสละ (1ยน.4:9-10)
เป็นความรักที่เปี่ยมด้วยความกรุณา (อฟ.2:4)
เป็นความรักที่เสริมสร้างพลัง (โรม.8:37)
เป็นความรักที่สนิทแนบแน่น ยืนยงตลอดกาล เราไม่มีวันขาดจากความรักนี้ (รม.8:39)
เป็นความรักที่มีรางวัลประทานให้แก่เรา (ยก.1:12,2,5)
เป็นความรักที่มีการลงโทษให้หลาบจำ (ฮบ.12:6)
จริงใจ (รม.12:9)
บริสุทธิ์ (รม.13:10)
ใจเอื้อเฟื้อ (2คร.8:24)
อดทนนาน (อฟ.4:2)
ให้อภัยช่วยสู่สภาพดี (2คร.2:8)
ไม่ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล (2คร.2:4)
ควบคุมเสรีภาพ (กท.5:13)
ข.ความรักที่ผิดทาง
รักโลก (1ยน.2:15, 2ทธ.4:10)
รักชื่อเสียง เกียรติยศส่วนตัว (ยน.12:43)
รักความมืดกลัวความสว่าง
ข้อทดสอบ 6 ประการ สำหรับคู่รัก สำหรับคนที่จะรักเธอ / เขา
จากหนังสือคู่ชีวิต ผู้เขียนชาวจีนได้เขียนไว้ แต่ไม่ใช่ต้องตามนี้ตายตัวเสมอไป สิ่งที่สำคัญคือต้องการพึ่งการอธิษฐาน และการดำเนินชีวิตที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่สำคัญ
ทั้งสองคนถวายตัวแก่พระเยซูคริสต์ในการดำเนินชีวิตหรือยัง
พระเยซูครอบครองในชีวิต ยอมจำนนสิ้นเชิง
สามารถแบ่งปันคำพยาน ประสบการณ์ พระพรแก่กันได้ไหม
พิจารณาว่าคุณทั้งสองเหมาะสมฝ่ายร่างกาย มีความเสน่หาต่อกันหรือไม่ ภูมิใจและยินดีที่จะให้ผู้อื่นรู้จักแฟนของคุณอยู่ด้วยกัน
เหมาะสมกันด้านสติปัญญาไหม
ระดับความคิด แตกต่างกันมากเกินไปไหม
ครอบครัว สิ่งสำคัญในการสื่อสาร ด้านคำพูดจะเกิดปัญหาไหม
เหมาะสมกันด้านสังคม วัฒนธรรมไหม
สามารถพิสูจน์ความรักของคุณด้านเวลาได้ไหม
ไม่รีบร้อน
ไม่ชะล่าใจ
ไม่เอาเปรียบ ตั้งข้อแม้
ให้เกียรติแก่กัน
ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดมอบสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่
ไม่ใช่แสดงออกแต่ปาก
ไม่แสวงหาประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง
บทความตอนนี้ นำมาจากหนังสือ : รักที่สมปราถนา ของ อ.ประดิษฐ์
หลักการชี้แนะการเลือกคู่ครองจากพระคัมภีร์ ปฐมกาลบทที่ 24
หนุ่มสาวควรเชื่อฟังพระวจนะพระเจ้า ให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานในการศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งพระคำพระเจ้าได้ให้มาตรฐานของการเลือกคู่และการสมรสไว้อย่างชัดเจน ต่อไปเป็นข้อชี้แนะจากพระคัมภีร์อีกแง่คิดหนึ่ง ที่แนะนำเราในการเลือกคู่ครอง จากปฐมกาลบทที่ 24
“เจ้าสาวของอิสอัค” ในตอนนี้ได้คัดมาบางตอนเพื่อเสนอแนวทางในการตัดสินใจอาจจะไม่ใช่วัฒนธรรม เหมือนกับในบ้านเมืองเรา แต่เป็นมาตรฐานของพระเจ้าที่ชี้แนะและควรประพฤติในการปฏิบัติ ในการตัดสินใจเลือกคู่ครอง
1. เจ้าสาวไม่ใช่ใครก็ได้ เธอคนนั้นต้องได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้าว่าเหมาะกับใคร (ปฐก.24:3-4)
เธอมีสถานที่ๆพระเจ้ามีพระประสงค์นำเธอไป (ปฐก7)
อะไรที่เป็นคำสั่งและตำตอบสนองที่สำคัญ (8, 41)
คนใช้สังเกตอย่างไรว่าเป็นผู้หญิงคนนี้เพื่ออิสอัคแน่นอน (14, 19)
หลังจากนั้น เขาได้สังเกต ไตร่ตรอง และอธิษฐาน (21)
“ข้อ 27” เป็นคำอธิษฐานและคำพยาน ของคนใช้ในการที่พระเจ้าทรงนำ
คนใช้ไม่หันเหไปจากจุดประสงค์เลย (33)
การเอาใจใส่ด้านอื่นๆที่มาจากพระเจ้า และไม่ควรให้ความคิดขัดขวาง (50)
มีความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย จึงนมัสการ อธิษฐาน (12:27-28, 48:52)
หลังจากนั้นเขาแสวงหาครอบครัวของหญิงสาว ซึ่งเป็นขั้นต่อไปและเป็นแผนการของพระเจ้า
เราต้องเห็นความสำคัญของจุดนี้ด้วย และธรรมดาก็ไม่ได้คิดสิ่งใดตรงกันข้ามกับสิ่งที่ครอบครัว
เธอคิดด้วย (51, 55, 58)
11. เธอตัดสินใจเอง ตกลงขั้นสุดท้าย (58)
12. มอบเครื่องประดับ เพื่อนำเธอมาพบกับอิสอัค (62) นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าให้ประชากรในโลกปฏิบัติ การหมั้น และเจ้าสาวมาสู่เจ้าบ่าว
นี่เป็นแนวทางในการศึกษา ไม่ใช่คิดว่าต้องเหมือนทุกข้อ แต่เป็นรายละเอียด ตัวอย่างในการนำ ไปใช้ในการเลือกของหนุ่มสาว พระองค์มีจุดประสงค์ในการเริ่มต้นของการแต่งงาน และ สั่งสอนเพื่อให้ถูกต้องตามวัฒนธรรม ประเพณี เพื่ออนาคตครอบครัวที่สัมพันธ์กันในแต่ละวัฒนธรรมในการดำเนินเพื่อเป็นพยานฝ่ายพระคริสต์ในสังคมที่ท่านอยู่
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553
ความเหงา ตอน อะไรที่จะ ชดเชยความเหงาได้
1. สร้าง ตวามสำเร็จด้านใดด้านหนึ่ง เช่นทักษะด้าน ดนตรี ทักษะพิเศษในด้านภา หรือ อ่านหนังสือ ศึกษาประวัติศาสตร์ นวนิยาย จนชำนาญเชี่ยวชาญ อยากต่อยอดในสิ่งที่เรารู้ เมื่อเกิดความสำเร็จ ผู้คนก็อยากฟังเรา พูดคุย เล่า มันภูมิใจ จนลืมเรื่อง ความเหงา สักเกต สิครับ คนเก่งๆสมัยนี้ที่ประสบความำเร็จมักเป็นโสด เพราะความสำเร็จทำให้เขาอยากต่อยอด ทุ่มเทให้มันจนหายเหงาไปเลย
2. กิจกรรม ทุ่มเท ให้พระเจ้า ไปเลย เช่น แสวงหา ที่จะรู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ ศึกษาพระคัมภีร์ หรือรับใช้ด้านใดด้านหนึ่ง จน ทะทุทะลวง เกิดผลไปเลย หลายคนเอาจริงจัง ทุ่มเท จนเห็นสิ่ที่มีคุณค่ากว่า คือ พระเจ้า และลืมความเหงาไปเลย
3. เพื่อน ๆที่ ดีๆ คนรอบข้าง อย่าทิ้งเขา แต่ละวัน คนนี้เข้ามา พรุ่งนี้คนนี้คุยด้วย คบรักษาไว้ ดีกว่าหมดกมุ่นกับคนเดียว วันหนึ่งเมื่อเรา ไม่มีเขาเราก็เหงา ดังนั้นอย่า ทิ้ง ระยะนานกับพี่ๆ เพื่อนๆที่รักเรา รักษามิตภาพต่อเนื่อง
4. พระเจ้า ไง ระบาย คุยกับพระองค์ ดูสิครับ โนอาร์สร้างเรือ ขณะโลกยังไม่มีฝน น้ำยังไม่ท่วม เ ขาจะคุยกับใครได้เพราะ ชาวบ้านคงนินทาหาว่าเขาเป็นบ้าแน่ๆ เพราะสร้างเรือ ซะไหญ่โต แต่โนอาห์สนทนากับพระเจ้า ดาวิดหนีหัวซุกหัวซุน เพราะการไล่ล่าของซาอูล แต่ท่านก็ระบายทุกสิ่งแก่พระเจ้า ท่านละ ระบายความในใจของท่านให้แก่ พระเจ้าคุย กับพระองค์ดังทรงเป็น ผู้ทรงพระชนม์ไหม
5. อย่ายึดติดว่า ทุกสิ่ง เป็นของเรา คิดว่าทุกสิ่งเป็นรังวัล โอกาส พิเศาษ ครั้งหนึ่งในชีวิต สำหรับผม วันนี้คนที่ว่าสนิท คนที่น่ารัก คุ้นเคย อบอุ่น แต่วันหนึ่งเขาก้ต้องจากไป เพราะ พันธกิจ วาระ โอกาส เห็นไหมว่า พระเจ้าให้ และพระเจ้าเอาคืน เราไม่ใช่เจ้าของ ทุกสิ่งเป็นวาระ โอกาส เพียงวันนี้ เรามีโอกาส เราก็ทำดีที่สุด ให้แก่คนที่ผ่านเข้ามา จนกว่าวันหนึ่ง เราจะเจอคนที่พระเจ้าให้อยู่กับเราตลอดจนหมดลมหายใจ (คือ คู่ครองของท่าน) ดังนั้นอย่าคิดว่าทุกสิ่งต้องเป็นของเรา ท่านจะไม่ต้องกลัว ความสูญเสีย และ ความเหงาอีกต่อไป เพราะเราจรับรางวัลและโอกาสนั้นเสมอๆ
6. อะไรอยู่ในท่าน ในมือท่าน นำมันขึ่นมา กีต้าร์ หนังสือที่น่าอ่าน หรือเคยยอ่าน หนังดีๆ ที่อยากจะดู คอนเสริท เพลง ที่เคยชอบ เพื่อนที่ไม่ได้คุยมานาน รีบเมล โทร เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ฝึก ใช้ นำมันขึ่นมา ฝึกใช้ เพื่อนที่คุยแล้วสบายใจ โทรไปหาเขา นั้นก็ขจัดอารมย์เหงาไปได้ ระดับหนึ่ง สำหรับผมหรือครับ มีสองสามคนที่สนิทๆ ก็เมลคุย บ้าง ในเฟสบุค หรือเพื่อนผู้รับใช้ โทรคุยบ้าง เมสเสสบ้าง เพราะรู้ว่า โลกนี้มีตั้งสาม สี่คนที่เรายังงคุยด้วยได้ ไม่ได้อยู่คนเดียวสะหน่อย และเพื่อนเลิกไม่ได้ แต่ แฟน เลิกได้ นะครับ อย่าลืมละ มีแฟนอย่าทิ้งเพื่อน และมีเพื่อนก็อย่าทิ้งแฟน
ความเหงา ตอน ศรัตรูที่ทำลาย ศักยภาพของเรา
โรคเหงาระบาดได้ (จาก ไทยโพสต์)
นักวิจัยในสหรัฐพบว่า ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายสามารถแพร่ระบาดไปยังคนอื่นได้ ทำนองเดียวกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสมากกว่าผู้ชายที่จะ "ติดเชื้อ" นี้
งาน วิจัยของทีมจากมหาวิทยาลัยชิคาโก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่า คนที่เหงามักแพร่ความรู้สึกซึมเศร้าแก่คนรอบตัว ซึ่งในที่สุดคนเหล่านี้จะแยกตัวออกจากสังคม
จอห์น คาซีออพโป นักจิตวิทยาของ ม.ชิคาโก หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนที่เหงาจะแพร่เชื้อไปยังเพื่อน ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขณะเจ้าตัวเองก็จะมีเพื่อนน้อยลง ๆ เพื่อนที่เหลือนั้นก็จะพากันเหงา และสูญเสียเพื่อนเช่นกัน
เนื่อง จากความเหงาเกี่ยวข้องกับทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งทำให้อายุของคนเราสั้นลง เขาบอกว่าเราควรตระหนักถึงเรื่องนี้ และช่วยเหลือคนที่เหงาก่อนที่คนเหล่านั้นจะปลีกตัวออกจากสังคม
งาน ชิ้นนี้ได้ศึกษาข้อมูลในโครงการติดตามโรคหัวใจ ซึ่งได้ศึกษาความเสี่ยงของโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดในคนไข้กว่า 5,000 รายนับแต่ปี 2491 ซึ่งโครงการนี้ได้ขยายรวมถึงคนรุ่นที่สองอีก 5,124 คน
นักวิจัยพบว่าเมื่อคนเรารู้สึกเหงา ก็จะรู้สึกเชื่อใจไว้ใจคนอื่นน้อยลง และทำให้ยากแก่การสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้น
นัก วิจัยบอกว่า โดยธรรมชาติแล้วสังคมมักกีดกันคนแบบนี้ออกไป ซึ่งพบได้ในการทดลองกับลิง ฉะนั้น จึงต้องหาทางรับมือกับความเหงาก่อนที่จะแพร่เชื้อไปยังคนอื่น
อ่านแล้วรู้สึกยังไงครับ และสำหรับผม ก็เคยเผชิญ และพยายามหาวิธี แก้ไข หาทางออก มาโดยตลอด อยากจะเล่าถึงวัยเด็กของตัวเองสักนิด เนื่องจากผม ต้องหาทุนเรียนเอง ไม่มีทางบ้านสนับสนุน อีกอย่าง ผมสนใจอยากเรียนดนตรี สมัยนั้น กาเรียน เถึง ม6 มันไม่มี สาขาดนตรีให้เลือก เลยต้องหาเรื่อง ที่เรียนสายอื่นไปก่อน อะไรก็ ได้ก็เลยต้อง ฝืนมากเลยครับ ก็เหงา เพราะเพื่อนๆ ก็คุยเรื่องที่เขาสนใจ แต่ผมสนใจแต่เครื่องดนตรี หนังสือดนตรี กลับบ้านหมกมุ่นกับกีต้าร์ กลอง เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะผมไม่ชอบสายที่เรียน เสาะหา คนคุยเรื่องเดียวกันไม่ได้ ก็เหงา แต่ผมมีทางออกคือ เอาดนตรี และความสำเร็จเป็นเพื่อน สุดท้ายผมเลยกลายเป็นคนเด่นของ สถาบัน ลบล้างความเหงา และเป็นที่สนใจ ต้องการของผู้อื่น เวลามีงาน ต่างๆผมก็ได้รับเลือก ให้เล่น ดนตรี ให้สถาบันไปเลย นี่คือ เอาความสำเร็จลบล้างความเหงา
ต่อมา ผมได้กลับใจรับเชื่อ พระเจ้า ในขณะที่ก่อนเข้าเรียน มหาลัย ปีแรก และกลับใจ ไหม่ หันไป เรียน มหาลัย พระคริสตธรรม ทางบ้านไม่สนับสนุน เพราะชีวิตหันเห หักมุมมากเกินไป เพราะผมเป็นพี่ชายคนโต มารับใช้พระเจ้า ผมต้องหาทุนเอง ทำตัวเกเรไม่ได้ เพราะกลัวจะไม่ได้ทุน เพราะเขาดูการประพฤติและเกรด เฉลี่ย เลยหมกมุ่น อยู่แต่ในห้องสมุด อ่าน ทำรายงาน อ่านๆๆๆ ผลสรุป ผมใช้เวลาในการเรียน จบภายในสามปี ทั้งที่ หากเรียนจริงๆรวมฝึกงานต้องใช้เวลาห้าปี แต่ช่วงนั้น เพื่อนๆที่มีเงิน วันหยุดเขาไปนั่งปั่นจักยานน้ำ ดูหนังกับแฟน สิ่งที่ผมทำสิ่งเดียว คือ ออดอาหารอธิษฐาน ในวันหยุด เฝ้าเดี่ยวอยู่กับพระเจ้า ผลก็คิอ ผมจบก่อนใคร ล่วงหน้าสองปี ความสำเร็จ ความสนิทสนมกับพระเจ้า เห็นอัศจรรย์ ชีวิตที่เป็นจริงของพระองค์ในผม และ ทรงเป็นเพื่อนผม อันนี้คือ พระเจ้าเป็นเพื่อนจริงๆ แต่ผมก็สนใจ เพื่อนนักศึกษา หญิงเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวหาว่า ผมเว่อเกินไป ไม่ยุ่งเรื่องคู่ครอง แต่ผมมักใช้วิธีผมใช้วิธี ตัดสินใจ แบบ หักดิบ คือ อดอาหารภายในสามวันหากพระเจ้าบอกว่าไม่ ผมเลิกเลย ไม่เสียเวลากับสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าไม่ มัน เลยกลายเป็นความสุขที่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าไปเลย
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
ลักษณะความรักที่ผิด-รักแท้-ความรักที่ควรระวัง
คุณจะพิสูจน์ความรักที่ถูกได้อย่างไร
เมื่อคุณพบใครสักคน รักหรือชอบใครสักคน ลองสำรวจดูว่า คุณรักเธอเพราะอะไร?
1)เพราะเธอฉลาด, เก่ง, มีความสามารถ
นั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการยอมรับ (Approval) ความรักที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบเหล่านี้เสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถที่จะรักเธอในสภาพที่เธอเป็นต่างหาก
2)ความสวยงามทางเรือนร่าง
หรือที่เรียกว่า หลงเสน่ห์ “เป็นความรู้สึกเร้าอารมณ์ ดึงดูดทางเพศ” โดยความสวยงามทางกายของอีกฝ่าย อยากเป็นเจ้าของ โบราณว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” มองข้ามส่วนเสีย คิด ฝัน ทึกทักว่าตนมีความรัก สร้างภาพพจน์ของเธอ / เขา โดยจินตนาการ เห็นเธอดีพร้อม กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตื่นเต้น โลหิตและชีพจรเต้นเร็ว แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์หลงรักเท่านั้น คิดไปเองว่าไม่มีใคร เหมาะสมกับเธอ / เขาเหมือนฉัน ส่วนมากจะเป็นกับชาย เพราะความอยากมีคู่รัก ตัวอย่าง อัมโมนหลงเสน่ห์ทามาร์ (2ซมอ.13:1-22)
ข้อเสียคือ ทำให้ผู้หลงเสน่ห์ตกอยู่ในห้วงเสน่หา ขาดความสามารถพินิจพิเคราะห์ และสูญเสียดุลยภาพทางอารมณ์ของเขา
วิธีแก้
ดึงตัวออกห่างจากผู้ที่เราหลงเสน่ห์ และแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ติดสนิทกับพระอง
บังคับจิตใจ คิดถึงสิ่งที่ไม่น่าปราถนาของตัวเธอ/เขา มองรอบๆด้วยความรอบคอบ และใจเป็นกลาง นึกถึงสิ่งที่บกพร่อง จุดอ่อนด้วย
เปรียบเทียบผู้หญิง/ชายหลายคนที่เรารู้จัก เพราะยังมีคนอีกมากมายที่เราต้องพบอีก
หากแยกไม่ออก ไม่มั่นใจว่ารัก หรือหลงเสน่ห์ อย่าตัดสินใจเลย ถอยออกห่างก่อน
การเลือกคนรัก ต้องใช้สติปัญญา ไม่ใช่อารมณ์ ความตื่นเต้น หรือมองแต่ภายนอก ต้องขอการทรงนำมาจากพระเจ้า ระวัง สาวดวงตาคม หน้าตาจิ้มลิ้ม รูปร่างเย้ายวน หรือสาวที่ชอบเป็น ตุ๊กตาหน้ารถ แต่จงเลือกสาวที่พร้อมอุทิศตนเป็นภรรยาทั้งใจและกาย
ข้อคิด
เสน่ห์ ความงามภายนอกของหญิงจะสูญไปเร็วกว่าชาย ไม่จีรังยั่งยืน เพราะปกติผู้ชายจะอ่อนวัยกว่าหญิง หญิง 40 ดูคล้าย 50 ผิวพรรณ ความงามเหลืออีกไม่นานในวัยกลางคน แต่นิสัยยังคงอยู่และงอกงามขึ้นตามอายุการแต่งงาน ปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “จงเลิกฝันถึงความอบอุ่นที่เกิดจากความงามเสียเถิด ไร้สาระเปล่าๆ”
สิ่งดึงดูดในเรือนร่างอย่างเดียว ไม่สามารถทดแทนคุณสมบัติของแม่บ้าน หรือความเป็นภรรยาที่อุทิศเพื่อสามีได้
เสน่ห์ของคนเราขึ้นอยู่กับความมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งกันและกันที่ยาวนานต่างหาก ไม่ใช่เรือนกาย ซึ่งต่อไปเมื่อคุณรู้สึกตัว อาจคิดได้ว่า “ผม (ฉัน) เคยเป็นคนที่สวยที่สุดในโลก แต่ความจริงเหลวไหลที่สุด อาจเพราะผม (ฉัน)ไม่รู้จักเธอ(เขา) อีกมากมายในโลกนี้”
ผลเสีย
ความรักประเภทนี้เป็นอารมณ์ที่ไม่คงที่ มักรักแล้วเลิก เพราะจะหาใครเป็นดังที่เธอ/เขาคิด ไม่มีความรักที่เกิดจากอารมณ์ไม่มั่นคง หากเกิดกับวัยรุ่น บางคนขาดการตั้งใจเรียน ผลการศึกษาต่ำลง
จากสถิติการวิจัยพบว่า วัยรุ่นมักมีความรักประเภทนี้ ตั้งแต่วัยเรียน แต่ที่แต่งงานกันตอนเรียนจบแทบไม่มีเลย และ หญิงที่แต่งงานเมื่ออายุ 20 ปี มักประสบความล้มเหลวมากกว่าแต่งงานเมื่ออายุ 24 ปี
“วัยรุ่นเป็นวัยแสวงหา มิใช่วัยแห่งการยุติ”
4)รักแรกพบ
- เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน ไร้เหตุผล
- ความรักมิได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่รักแรกพบที่สามารถพัฒนาไปสู่รักจีรังยั่งยืนได้ ต้องใช้เวลา
- รักแรกพบเป็นดัชนีให้เห็นว่า ไม่ทนต่อเวลา เพราะภายหลังมานั่งพิจารณาอีกครั้งก็รู้ว่าตนหาได้รักผูกพันด้วยไม่
ดังนั้น คู่รักที่ค่อยๆผูกพันรักใคร่ เนื่องจากความเข้าใจ ใกล้ชิด สนิทสนมกันมานานจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงานดีที่สุด
5)ความรักใคร่ (Affection)
-ความรู้สึกนับถือ อบอุ่น ชอบหรือติดคนนั้นอย่างมาก
-ความชอบพอกัน ความต้องการใกล้ชิดสนิทสนมอาจมิใช่ความรักที่แท้ก็ได้
6)ตัณหา (Lust)
-ความหิวกระหายทางกามารมณ์ที่ตื่นเต้น เร้าใจ แต่สิ่งนี้ทดแทนความรักไม่ได้ และอาจมี โดยปราศจากความรัก และเข้าใจผิดว่าเป็นความรัก มีบางคนที่ยอมสละความสัตย์ซื่อต่อกันและกัน และความรับผิดชอบเพียงเพื่อกามารมณ์เท่านั้น
ช.การมีคนรักหลายคน
-หากหญิงหรือชายมีคนรักในเวลาเดียวกันหลายๆคน อาจเป็นเพียงการหลงเสน่ห์เท่านั้น รักแท้นั้น ทั้งสองฝ่ายต้องอุทิศให้แก่กันและกัน ด้วยวิญญาณ จิตใจ ร่างกาย ไม่ใช่เรื่องกามารมณ์อย่างเดียว และความรักแม้จะเกิดขึ้นกับคนๆเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทีเดียวหลายๆคน
7)ความรักที่ต้องการการทดแทนบางอย่าง
บางครั้งเราอยู่ในสภาวะกดดัน เบื่อ ขาดความอดทน ว้าเหว่ รู้สึกชีวิตขาดความสมบูรณ์ มีความต้องการรุนแรง ที่จะได้พักพิงทางใจ หากเจอใครสักคนก็จะตกหลุมรักทันที แต่จงระวังจุดนี้ ข้อเสียคือ เป็นความรักที่หาสิ่งทดแทน หาทางออก ต้องการสิ่งทดแทนแต่หาเป็นผู้ให้ไม่ คอยแต่จะรับ
8)รักด้วยความสงสาร
เป็นจิตใจสงสารที่ไม่ผูกพัน และเสริมสร้างเพราะเป็นการสังเวย อยากช่วยเหลือมากกว่า
9)รักด้วยความจำเป็น
ต้องรัก เช่น ผู้ใหญ่บังคับ
10)รักด้วยความกลัว
กลัวผู้ใหญ่ กลัวอนาคต กลัวอยู่คนเดียว
11)รักเหมือนเพื่อน
เข้าใจ ช่วยเหลือแต่ไม่เกี่ยวข้องผูกพันทางกาย
เหล่านี้เป็นความรักของมนุษย์แตกต่างกับ 1คร.13:4-17 ซึ่งเป็นความรักของพระเจ้า
เสน่ห์ของผู้หญิงอยู่ที่ไหน
“ในชายพันคนจะพบชายจริงสักคนหนึ่ง แต่จะหาหญิงแท้สักหนึ่งคนในจำนวนพันคน ก็หามีไม่” (ปญจ.7:28) หนังสือเล่มหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับหนุ่มสาวเมื่อ 1,700ปี ชาวอียิปต์ก็เคยบันทึกเอาไว้ใน แผ่นปาปิรัสว่า หนุ่มสาวในชุมชนไม่สนใจใยดีต่อกิจกรรมทางสังคม หนุ่มๆเอาแต่เที่ยวขี่ม้าไปตามทุ่งหญ้า แทนที่จะเฝ้าแกะ เด็กสาวๆจะเอาเฮนนา มาทาริมฝีปากอย่างไม่อาย เมื่อเราเปรียบเทียบกับปัจจุบันก็ต่างกันมาก ปัจจุบันเด็กสาวๆเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสังคมการเมือง หญิงทัดเทียมชายและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ รวมถึงเสรีภาพด้านเพศอย่างไม่อาย หนุ่มสาวเดินควงคู่กัน ซึ่งไม่เหมือนในอดีต และนำไปสู่การทดลอง วัฒนธรรมทางตะวันตก เข้ามาทำให้ขนบธรรมเนียมที่อ่อนหวานน่ารักแทบหมดสิ้น และพระเจ้าไม่ต้องการให้เป็นไปตามนั้น จึงมีบันทึกไว้ในพระวจนะพระองค์ไม่ให้ประพฤติตามอย่างในโลกนี้ (โรม12:12)
พระคัมภีร์ได้ชี้ให้คริสเตียนทุกคนบังเกิดใหม่ ไม่ควรดำเนินชีวิตเหมือนคนในยุคนี้ แต่ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราควรจะยึดกฏเกณฑ์ของพระเจ้ามากกกว่าตามโลก วัฒนธรรมสังคม หากหนุ่มสาวปฏิบัติตามก็จะเห็นความน่ารัก น่ายกย่องชมเชย ไม่เพียงแต่ต่อสายพระเนตรพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต่อหน้ามนุษย์ด้วย เราจะมองดูด้วยกันถึงคุณสมบัติของหญิง น่าจะมีคือ
กริยาวาจาสุภาพเรียบร้อยพิเศษ (สภษ.10:32, 12:14)
วาจาไพเราะทำให้ผู้หญิงน่าคบหา
ไม่ควรเลียนแบบ วาจา กริยา ท่าทางตะวันตกมากเกินไป ทั้งๆที่ฝรั่งอยากดูและชื่นชมประเพณีไทย
ไม่ควรพูดมากกับชายแปลกหน้า ไม่จำเป็นอย่าพูดด้วย อย่าแซวโต้ตอบ
ยินดีพูดกับญาติ, เพื่อสนิท สนมทำความรู้จักกัน ดู สภษ.21:19
เป็นผู้รักงานแม่บ้านแม่เรือน (สภษ.31:10-31)
“สตรีเป็นอันมากทำอย่างดีเลิศ แต่เธอเลิศยิ่งกว่าเขาทั้งหมด” (สภษ.31:29)
*ควรสนใจงานคหกรรม, ปรุงอาหาร, เย็บปักถักร้อย, การแต่งประดิษฐ์ต่างๆบ้าง เมื่อแต่งงานจะดูเป็นเสน่ห์ เป็นจุดเด่นของหญิง
*จัดบ้านเรือนให้สะอาด
*สนใจเลี้ยงเด็ก
*ขยันขันแข็ง (สภษ.22:29)
*รอบคอบ (สภษ.31:16,27) สัตย์ซื่อ
*รักการอ่านเขียนเรียนรู้เพิ่มเติม (สภษ.21:22) เพื่อจะได้เข้าใจชีวิตและมีทัศนคติที่กว้างขึ้น
ค.แต่งกายสะอาดเรียบร้อยตามสมัยนิยม (1ทธ.2:9)
*ไม่ควรใส่กระโปรงฟิต, สั้น, หรือบางตามแฟชั่น
*แต่งกายให้ดูสะอาดเรียบร้อยแต่พองาม ไม่ล้าสมัยเกินไป
ง.ควรมีท่าทีถูกต้องต่อเพื่อนต่างเพศ
*ไม่อยู่สองต่อสองลับตาคน ตัวอย่าง อัมโมน, ทามาร์
*ไม่เที่ยวตามลำพังสองต่อสอง ควรมีเพื่อนหญิง / ชายคนอื่นไปด้วย เพื่อจะช่วยรักษาชื่อเสียงและเรียนรู้จักคน
จ.มีไมตรีจิตต่อคนทั่วไป (สภษ.11:22)
*ไม่ควรให้ความสนิทสนมกับคนแปลกหน้า
*ไม่ควรไปกับเพื่อนชายที่เราไม่ทราบนิสัยจริงของเขา
*วางตัวต่อเพศตรงข้ามพอเหมาะพอควร
*ไม่ชอบไม่รักอย่าเล่น หรือให้ความหวัง, หลอกเอาโน่นเอานี่
*อย่าเป็นฝ่ายเชื้อเชิญชายทำโน่นทำนี่
ฉ.ต่อสังคม (1ทธ.2:10)
*อย่าคบคนง่าย
*หากไม่รู้จักนิสัยดี อย่าคบหาอย่าสนิทสนมด้วย
*อย่าไว้ใจคนง่าย
*ไม่ควรกลับบ้านดึกๆเว้นไว้แต่จำเป็นจริงๆ และต้องแจ้งผู้ใหญ่ให้ทราบก่อน
*อย่าตัดสินใจเชื่อคนง่ายๆ
*อย่าเชื่อเพื่อน, บุคคลอื่น (เขาอาจมีเจตนาไม่ดีต่อเรา) มากกว่าผู้ปกครอง
ตัวอย่าง นางรูธ ปรึกษาแม่ยาย และเอสเธอร์ปรึกษาโปรเดคัย
ซ.ควรยำเกรงพระจ้า (สภษ.2:5)
*รักษาชื่อเสียงดี (สภษ22:1)
*รักการอธิษฐาน, อ่านพระคัมภีร์ (ชายคริสเตียนทุกคนต้องการ แม้เธอจะไม่ค่อยเก่ง)
*เอาใจใส่ดูแลงานคริสตจักร (1คร.7:34)
*ซื่อสัตย์ “เหล่านี้จะทำให้เห็นคุณค่าของความเป็นสตรี และมีเกียรติแก่การยกย่องนับถือมาก”
ญ.ข้อคิด ดูหญิงอิสราเอล
*2พกษ.5:2-4 / เอสเธอร์2:20 / รูธ3:5, 2:11, 1:16-17
*หญิงที่ปราศจากความสงบเสงี่ยม อาจเป็นภรรยาที่ปราศจากความน่ารักก็ได้
*ผู้หญิงที่คบคนง่าย ชอบเอาใจผู้ชายมากเกินไป อาจไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นภรรยาที่ดีเสมอไป
จากหนังสือ - Human Relations./
Courtship and love marriage./
Parents and Children
สิ่งที่ชายควรปฏิบัติต่อสตรีในการเป็นแฟน
เกรงใจนึกถึงหัวอกผู้หญิง อย่าทำลายโอกาสผู้หญิงที่จะมีชีวิตน่านับถือในอนาคตต่อไป
แค่เรื่องการวางตัวและระวังความสัมพันธ์
ปรับปรุงการประพฤติและยับยั้งสติ การกระทำด้วยเกียรติภูมิ สงบสุขเพื่อทำให้ผู้หญิงรัก
รู้สึกว่าเธอสำคัญในตัวเอง และต้องการคุณ ความสุภาพจะเป็นเสน่ห์ยิ่ง
ระวังอย่า ควงแขน คนรักไปในที่สาธารณะหรือที่ลับตาคนโดยเฉพาะกลางคืนจะทำให้ขาด-
ความน่าเคารพ ระวังเรื่องกฏประเพณี ศีลธรรม
ควรพบปะครอบครัวของเธอด้วยความภาคภูมิ
อย่าพูดเสียงดังเอะอะโวยวาย ทำให้เธอรู้สึกวุ่นวายใจ อย่าพูดหยาบคาย สบถสาบาน
หยาบคายลามก 2 แง่ 3 ง่าม
อย่าพูดเรื่องเพศกับเธอ
แสดงความนับถือและให้เกียรติผู้หญิงทุกคน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
รับรู้เมื่อคุณไม่เป็นต้องการของเธอ
อย่าทำเจ้าชู้กับผู้หญิงอื่น ทั้งที่คุณมากับเธอแต่ไม่สนใจเธอ
แต่งกายสะอาดเรียบร้อย
มีงานทำเป็นหลักแหล่ง
คบกับคนทุกอย่างเปิดเผย อย่าทำหลบๆซ่อนๆ
ผู้หญิงมีสายตาแหลมคม สามารถเข้าใจผู้ชายได้ในวันเดียว ในขณะที่ชายต้องใช้เวลา 3 วันที่จะเข้าใจผู้หญิง
ผู้หญิงมักชอบผู้ชายเต็มตัว เอาอกเอาใจเธอพอประมาณ หรือรักเธอดังพ่อรักลูก
หากคุณชวนให้เธอฝ่าฝืนความดีงาม ความนับถือในตัวคุณจะลดลง
ผู้หญิงมักจะคิดเรื่องความรักเป็นเรื่องโรแมนติก อาจหมายถึงการอยู่ใกล้ชิดคุยกันใต้แสงจันทร์
อย่าจัดความสำเร็จของการเกี้ยวพาราสีด้วยเสรีภาพต่างๆ จงจำว่าสตรีที่เป็นอิสระเสรี ยอมง่ายๆ
ในระยะเกี้ยวพาราสี อาจไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณหลังแต่งงานก็ได้
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
ความคิดแตกต่างเรื่องความรักของหญิงและชาย
อีกอย่างหนึ่งคือ ทั้งสองคนเมื่อเริ่มคบกันไหม่ๆ ไม่มีโอกาสเปรียบเทียบชาย / หญิง อื่นหลายๆคน ดูทัศนคติ, เป้าหมาย, นิสัยต่างๆว่าใครที่มีเป้าหมายใกล้เคียงกับเรา ซึ่งแทนที่จะรู้จักคนอื่นในรสนิยม, พื้นเพ, ประสบการณ์กับเพื่อนคนอื่นๆบ้าง แต่ต้องมาจมปลักกับคนๆเดียว และส่วนใหญ่มักเสัยใจภายหลัง ว่ายังมีคนที่เหมาะสมกับเราและไม่น่ารีบสรุปตัดสินใจในการเร่งรีบแต่งงาน สรุปว่าเธอหรือเขา คนนี้ดีที่สุดในโลก
หากเรา จะคิดอย่างรอบคอบก็คือ ทั้งสองคนจะยิ่ง เสียมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่น, กิจกรรม, งาน เพราะเอาเวลาไปกับเพื่อนหญิงหรือชายคนเดียวหมด ลืมคิดไปว่าในโลกนี้มีผู้หญิง, ชายที่ดีอีกมากมาย ยิ่งหากเป็นนักศึกษาอยู่ ก็จะเสียการเรียน เพราะใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ในตอนนี้ผมอยากจะเปรียบเทียบ ความแตกต่าง ความรักโดยธรรมชาติของหญิงกับชาย ที่ควรระวัง โดยธรรมชาติแล้ว ผู้หญิงรักด้วยวิญญาณ และส่วนใหญ่ชายมักรักด้วยร่างกาย ห่วงความสวยงามเป็นอันดับแรกและผู้หญิง ส่วนไหญ่ก็ห่วงความมั่นคงในอนาคต แต่ผู้ชายห่วงความมั่นคงในความสวยงาม
ผู้หญิงให้คุณค่ารักสูงเกินไป ดังคำที่ว่าโดยชาย ยอมเสียความรักเพื่อความพอใจทางเพศ หญิงเสียความพอใจทางเพศเพื่อให้มีรัก ส่วนสตรีตกเป็นวัตถุทางเพศ (Sexual object) ในสายตาชายเสมอ
หนุ่มสาวมักจะมองเรื่องความงาม พิสูจน์ความรักที่ การมีหน้าตาดี มีการศึกษาดี เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่สิ่งยั่งยืนที่จะทำให้ชีวิตการแต่งงาน ราบรื่นเสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพที่ดี ความสนใจ เป้าหมายตรงกัน อุปนิสัย มีจิตวิญญาณที่ถวายให้กับพระเจ้า ยอมจำนนอย่างแท้จริง และดำเนินชีวิตตามพระวจนะพระเจ้า เพราะหากจะคิดหาคนรักที่มีจิตวิญญาณต่างกัน จะมีปัญหาแน่ นอกจากจะให้เขา (เธอ) ยอมจำนนถวายตัวแด่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจริงๆ ดังนั้น ควรใช้เวลาพิจารณาดูนานๆ
วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553
ผลร้ายของการรักและแต่งงานกับผู้ไม่เชื่อพระเจ้า
การเข้าเทียมแอก
1.คำสอนในพระวจนะของพระเจ้าเรื่องไม่ควรเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ
1.1เราเป็นชนชาติพิเศษของพระเจ้าที่พระเจ้าเรียกออกมาจากต่างชาติ (2คร.6:17-18)
1.2.เราเป็นปุโรหิตที่ต้องถวายเครื่องบูชาแก่พระเจ้า (1ปต.2:9)
1.3.ข้อคิดจาก พระธรรม 2คร.6:14-17
พระเจ้าตรัสสั่ง (2คร.6:14) “อย่า” (คำสั่งต้องปฏิบัติ)
ความชอบธรรมจะมีส่วนในความอธรรมไม่ได้ (2คร.6:14)
ความสว่างจะมีส่วนในความมืดไม่ได้ (2คร.6:14)
พระคริสต์จะมีส่วนในพระบาอัลไม่ได้ (2คร.6:15)
ผู้เชื่อไม่มีส่วนในผู้อยู่ต่างศาสนา (2คร.6:15)
วิหารของพระเจ้าจะมีส่วนในรูปเคารพไม่ได้ (1คร.3:16, 2คร.6:16)
พระเจ้าซื้อเราไว้แล้ว เราไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเราเอง เราเป็นของพระเจ้าที่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ และวิหารของพระองค์ (1คร.6:20)
คริสเตียนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว คนที่ไม่เชื่อจะไม่มีส่วนในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า
(1คร.6:9-11)
พระเจ้าให้เรามีสิทธิเสรีภาพ แต่อย่าให้สิทธิเสรีภาพบำรุงเนื้อหนัง ที่จะตามใจตนในการดำเนินชีวิต (กท.5:1,13)
หากเรายอมรับฟังผู้ใด เราก็เป็นทาสของผู้นั้น เราควรจะเชื่อฟังพระเจ้า ยอมจำนนต่อพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์โดยไม่ให้ร่างกายของเราเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่เชื่อ เป็นการดีที่จะอยู่เป็นโสดดีกว่า เพื่อรักษาจิต-วิญญาณของเราให้ดี (รม.6:11)
สองฝ่ายต้องเป็นกายเดียวกัน แต่คนที่ไม่เชื่อจะเป็นกายเดียวกันกับพระคริสต์ไม่ได้ (อฟ.5:28,31)
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเป็นทุกข์เพราะฝ่ายคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งตามควรไม่ได้
จะเป็นการสองฝักสองฝ่าย เพราะต้องปรนนิบัติพระเจ้าและแฟนที่ยังไม่เชื่อ พร้อมกัน
พระคัมภีร์สอนไว้ว่า อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะจะทำให้เกิดผลเสีย ด้านความเชื่อ
(2คร.6:14)
ในตอนนี้ผมอยากจะเล่า ตัวอย่างของ กษัตริย์ซาโลมอน เขามีภรรยามากเป็นต่างชาติและภรรยาที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้หันเหจิตใจของท่าน จากการเป็นผู้ที่ได้รับพร ผู้ที่รักพระเจ้ามากที่สุด แต่สุดท้ายกลับสร้างรูปเคารพขึ้นเอง และหันไปจากพระเจ้า ทำให้ลูกหลานต้องพบกับปัญหา แตกแยกเป็นสองอาณาจักร (เหนือ-ใต้) (1พกษ.11:1-13)
อีกเรื่อง ที่อยากเล่า คือ เมื่อ พระเจ้าห้ามอิสราเอลไม่ให้แต่งงานกับคนต่างชาติ แต่เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง (ฉธบ.7:3-4)
มาดูอีกเรื่อง แม้ว่าคนติดตามพระเจ้าแต่มีรูปเคารพ อย่างภรรยาของ เพราะตอนที่ ยาโคบได้นำนางราเชลออกจากบ้านลาบันพร้อมรูปเคารพ หนีออกจากบ้านก่อให้เกิดปัญหา ยาโคบเชื่อพระเจ้า แต่ครอบครัวของภรรยา (ลาบัน) ไม่เชื่อ จึงทำให้ทะเลาะกัน (ปฐก.31:21-42) ตัวอย่าง นี้ ยิ่งชัดเจน อีกตัวอย่างหนึ่ง แซมสันไปหลงรักหญิงชาวฟิลิสเตีย เป็นเหตุให้ต้องตาบอดเพราะถูกตัดผมจนอ่อนกำลัง (วบฉ.13:1-16)
ตัวอย่างสุดท้าย คือ อิสราเอลไปแต่งงานกับชาวอัสซีเรียกลายเป็นพวกสะมาเรีย ผลสุดท้าย เป็นศัตรูกับยูดาห์มาตลอด
2.ผลในการปฏิบัติในการไม่เข้าเทียมแอก
เพราะครอบครัวคริสเตียน พระเจ้าได้ให้ครอบครองมรดกร่วมกัน (1ปต.3:7)
ลูกจะได้บริสุทธิ์ไร้มลทิน
ช่วยส่งเสริมงานของพระเจ้าให้เจริญ
ทำให้ผูกพันกับพระเจ้า และแสวงหพระองค์ได้ดีกว่า (1คร.7:5)
วิธีการอธิษฐานขอคู่ครองจากพระเจ้า
การรู้จักกันและหลักการชี้แนะการเลือกคู่ครอง
การเลือกคู่ต้องใช้สายตาฝ่ายวิญญาณเปิดกว้างออกไป อย่าใช้อารมณ์หรือหัวใจที่ร้อนรุ่ม วาบหวาม ตื่นเต้นในการตัดสินจนขาดความยั้งสติ ไม่ใช่อารมณ์แต่ต้องตามความจริงและหลักพระวจนะรวมทั้งตามน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ให้เราให้เป็นไปอย่างตามธรรมชาติที่จะควรเป็น การเลือกคู่นั้นเราควรใจเย็นไว้ เพราะว่าชีวิตกำลังอยู่ในช่วงการเดิมพัน
หนุ่มสาวอาจจะพบเธอ เขา ในเซลล์, คริสตจักร, กลุ่มสามัคคีธรรม, ค่าย และหลายๆทาง เราต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคู่ครองที่ดี และเหมาะสมกับเรา เหล่านี้ขึ้นอยู่กับการทรงนำน้ำพระทัยพระเจ้า และการเลือกโดยใช้สติปัญญา และความเหมาะสม เราจะมีหลักการขั้นพื้นฐานดังนี้
การตั้งเป้าหมายการเลือกคู่ครอง
หนุ่มสาวทุกคนควรมีเป้าหมายในการเลือกคู่ครองที่เหมาะสมกับตน เพื่อการพร้อมที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันให้มั่นคงและเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในการรับใช้ของพระองค์ การดำเนินชีวิตครอบครัวที่เป็นพยานที่ดีที่สุดและมีความสุขในชีวิต เหล่านี้เป็นน้ำพระทัยพระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว พระองค์ทรงต้องการให้บุตรของพระองค์พบความสุขในชีวิตครอบครัว ดังนั้น จึงควรให้พระองค์มีส่วนในการเลือกคู่ครองของท่านด้วย เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในชีวิตของเราทุกคนทุกแง่มุม ดังนี้ (มธ.10:30) ไม่ว่าจะเป็นด้าน
1. ด้านการงาน (คส.3:21-4:1)
2. ด้านจิตวิญญาณ (คส.3:12-17)
3. ด้านชีวิตครอบครัว (คส.2:18-21)
4. ด้านชีวิตส่วนตัว (คส.4:5-6)
โดยเฉพาะเรื่องการสมรส พระองค์ทรงสนพระทัยและมีข้อกำชับ บังคับและแสดงความสำคัญโดยนำมาเปรียบเทียบเท่ากับคริสตจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น (อฟ.5:22-23) เพราะการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตมี 2 ครั้งคือ 1. การตัดสินใจเชื่อพระเยซู (เปลี่ยนชีวิต) และครั้งที่ 2คือการแต่งงาน (เลิกไม่ได้)
หนุ่มสาวควรแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าในการหาคู่ครองที่เหมาะสมและถูกต้อง จึงควรศึกษาจาก พระวจนะของพระเจ้าที่เป็นคำตอบและสำแดงออกชัดเจน ในกรณีที่ศิษยาภิบาล ผู้ปกครอง พ่อแม่ ของหนุ่มสาวเองควรมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจคือ การตั้งเป้าหมายซึ่งเป็นสิ่งที่น้ำพระทัยของพระเจ้าให้มีอยู่แล้ว เพราะการเลือกคู่ครองนี้ไม่ได้ใช้อารมณ์เท่านั้น แต่ต้องใช้วิจารณญาณ และน้ำพระทัยพระเจ้าในการตัดสินใจ เป้าหมายยิ่งชัดเจนยิ่งประสบความสำเร็จในชีวิต และเป้าหมายควรสอดคล้องกับพระคัมภีร์เพื่อเราจะเข้าใจว่ามีเพื่ออะไร จะมีความสัมพันธ์แบบไหน ลักษณะอย่างไร จะใช้ชีวิตร่วมอย่างไร (วางแผนครอบครัว) ต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนที่จะแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าในการเลือกคู่ครอง
1. อธิษฐานทูลขอในการตั้งเป้าหมาย (ยน.15:7, สดด.32:8)
เราควรจะทูลจากพระเจ้า พระองค์ได้ให้เรามีสิทธิ์ในการเลือก แต่ต้องสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้า และเราตัดสินใจพิจารณาว่าคนที่เราเลือกนั้นจะสนับสนุนเรา ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ถวายเกียรติ์แด่พระเจ้าหรือไม่ (2คร.6:14, สดด.21:2,สภษ.31:10) เช่น เขาหรือเธอผู้นั้นรักพระเจ้า ให้พระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิต มีความสัตย์ซื่อ ในการติดตามพระเจ้า และการดำเนินชีวิตทั่วไป ยอมจำนนต่อพระองค์ มีเป้าหมายรับใช้พระเจ้าเหมือนกับท่าน
2. รอเวลาของพระองค์ (ปญจ.3:1)
พระองค์ทรงนำในเวลาอันเหมาะสมที่จะให้พบเจอเขาหรือเธอที่พระองค์เลือกสรรค์คนของพระองค์ให้กับเรา และจะทรงนำสถานการณ์เหตุการณ์ต่างๆจะนำพาในเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่อเอลียาห์เซอร์พบนางเรเบคา เพื่อนำมาเป็นคู่ครองของอิสอัค ซึ่งเป็นบทเรียนแก่เราว่า อย่ารีบร้อนด่วนสรุป และกังวลเกินไป
1. สังเกตการทรงนำของพระเจ้า (สภษ.3:5-6, อสย.58:11)
อย่าคิดที่จะต้องให้เป็นแบบนั้น แบบนี้ หรือ แบบที่เรากำหนดในการเลือกคู่ครอง พระเจ้าทรงทราบและรู้ดีกว่าเรา ทรงรู้ก่อนล่วงหน้าเสียอีก ว่าจะนำเราในวิธีของพระองค์ เพียงแต่เรา ควร ต้องสังเกต การทรงนำจากพระเจ้าอย่างรอบคอบ ในการทรงนำในเรื่องนี้
2. ใช้วิธีการของพระเจ้าและสติปัญญาในการที่เราจะเลือกและทูลขอ
ให้ยึดหลักพระคัมภีร์และต้องไม่ขัดกับความเชื่อของเรา เช่น ฝ่ายหนึ่งอยู่ในความเชื่อแบบ คาทอลิกจะแต่งกับพวกเราที่อยู่ในความเชื่อแบบเพนเทคอส ทำให้ลูกเกิดมาเลือกความเชื่อไม่ถูก จะอบรมยากมาก
เราจะเห็นตัวอย่าง อิสอัคกับนางเรเบคาห์ว่าเป็นชนชาติเดียวกัน มีความเชื่อเหมือนกัน แต่อาหับกับนาง
เยเซเบลหญิงต่างชาติ ทำให้เกิดปัญหามากมายในครอบครัวและประเทศชาติของอิสราเอล
3. ตั้งเป้าหมายว่าจะไม่แต่งกับคนไม่เชื่อพระเจ้า
ทำไมเราต้องสอนและเน้นเรื่องการเข้าเทียมแอก ซึ่งเหตุผลต่างๆเหล่านี้จะช่วยเราให้เข้าใจ ซึ่งจะเรียนในบทต่อไป
4. การสร้างความสัมพันธ์
การรู้จักกันเมื่อเริ่มรู้จักหรือชอบ และการสร้างความสัมพันธ์ ให้ศึกษากันและกันให้มาก แต่ยังคงเป็นเพื่อนกันที่รู้จักกันเท่านั้น ควรทำความรู้จักอย่างระมัดระวัง ไม่ให้คำสัญญา ให้ความหวังแก่กันเกินกว่าความจริง
*ช่วงนี้ปฏิบัติเช่นเพื่อน คบเพื่อนหลายๆคนได้
*อย่าตื่นเต้น เกร็งเกินไป หรือชะล่าใจ
*อย่าเห็นเป็นเรื่องสนุกเล่นๆ
*เริ่มขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณและให้ช่วยดูแล แนะนำ
*มีความสัมพันธ์อย่างระมัดระวัง
*ไม่ให้ความหวังเกินความจริง
*อย่าด่วนสรุปรัก
*มองดูหลายๆจุด
5. มองดูความเหมาะสม
เราต้องเริ่มสังเกตและพิจารณาว่า
• บุคลิกส่งเสริมกันหรือไม่ รูปร่างไม่ควรแตกต่างมากเกินไป
• การศึกษาไม่ควรแตกต่างกันมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการสื่อสาร
• สติปัญญา ด้านความรู้เช่น คนหนึ่งจบปริญญาโท อีกคนจบป.3
• หน้าที่รับผิดชอบที่มีผลต่อปัจจุบัน, อนาคต
• อายุ ไม่แตกต่างกันมากเกินไป
6. สถานภาพทางครอบครัว, สังคม
• ดูความเหมาะสม, พื้นเพ, ศาสนา, วัฒนธรรม, ครอบครัว
• ไม่ใช่ญาติสนิท
• ไม่ใช่ชาย/หญิงที่หย่าแล้ว และคู่ครองเดิมยังมีชีวิตอยู่
• สุขภาพร่างกายแข็งแรงพอจะมีครอบครัว
7. ชีวิตความรับผิดชอบ
*ฝ่ายจิตวิญญาณ
*ความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว
*ความเชื่อ
*ยอมจำนนต่อพระเจ้าหรือไม่ อย่าด่วนตัดสินใจภายนอกเท่านั้น
8. เป้าหมายชีวิต
*การรับใช้
*การมีชีวิตเพื่อ อยู่เพื่อใคร อะไร ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนสองคนมาก
9. เราชอบเขา / เธอ ตรงไหน? เหตุไรฉันชอบเธอ?
*ความสวยงาม
*ฐานะ
*ความสามารถ
*ผู้ใหญ่บังคับ
*เพื่อนๆล้อจนหลงคิดว่าจริง
เมื่อไหร่ควรจะมีคนรักเหมาะสมแต่งงาน มีคนรัก?
สิ่งสำคัญคือมนุษย์ไม่ได้มีเพียงร่างกายเท่านั้น การแต่งงานต้องประกอบด้วยความเจริญเติบโตเต็มที่ของจิตใจ, อารมณ์, วิญญาณเท่ากับด้านร่างกายของทั้งสองฝ่าย
เราจะรู้อย่างไรว่า ชาย-หญิง นั้นเจริญเติบโตเต็มที่? ดูได้จากการควบคุมในจิตใจ รู้สึกรับผิดชอบ และความรู้จักระมัดระวังตัว การวางตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเพศตรงกันข้าม เพราะการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของเด็ก แต่เป็นของผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ และช่วงของอายุที่มีการพัฒนาด้านจิตใจและวิญญาณอย่างเต็มที่ ปกติจิตใจจะเติบโตเต็มที่เมื่ออายุได้ 25 ปี (ระหว่าง 16-25 ปีเป็นช่วงในการเตรียมที่จะทำงานสำคัญในชีวิต)
ช่วง 30 ปี เป็นระยะที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แท้จริงแล้ว แม้หนุ่มสาวจะเป็นผู้ใหญ่เต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี แต่จิตใจ บุคลิกภาพ และการกระทำอาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ เพราะเขาขาดประสบการณ์ แต่เมื่ออายุ 30 หนุ่มสาวจะได้รับประสบการณ์เต็มที่ ในการดำเนินชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัย เชื่อว่าเวลาที่เหมาะสมของหนุ่มสาวในการแต่งงานคือ
ชาย เมื่ออายุ 26-28 ปี เพราะพอที่จะมีความรับผิดชอบครอบครัวได้
หญิง เมื่ออายุ 22-25 ปี เหมาะจะเป็นภรรยา จัดการบ้านช่อง และช่วยเหลือสามีในการเป็นกำลังใจอย่างดี
ระยะเวลาและอายุของการ คิดถึงเพศตรงกันข้าม
ในการดำรงชีวิตอยู่ตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ชีวิต ร่างกาย สรีระ และอารมณ์ความคิดของเราเปลี่ยนแปลงตามอายุ โดยเฉพาะเกี่ยวกับอารมณ์ ความต้องการของหนุ่มสาวที่มีต่อเพศตรงข้าม ซึ่งโดยปกติแล้วยุวชนมักจะพบ 3 ประสบการณ์ด้วยกันที่ผู้ใหญ่ต้องดูแลและเข้าใจ
ช่วงที่ 1 อายุ 3-7 ขวบ ไม่มีความสนใจเพศเดียวกัน หรือเพศตรงข้าม คือสนใจเพียงแต่เล่นเท่านั้น
ช่วงที่ 2 อายุ 8-13 ขวบ ไม่สนใจเพศตรงข้ามแต่สนใจรุ่นพี่ที่เก่ง และจะจับกลุ่มเล่นระหว่างชาย-หญิง
ช่วงที่ 3 อายุ 14 ปีขึ้นไป หนุ่มสาวคิดมีเพื่อนต่างเพศ แต่การแสดงออกขึ้นอยู่กับพื้นเพด้านนิสัย สภาพสิ่งแวดล้อม และมักจะมีรักแรกตอนนี้ เขารู้สึกว่าเจริญเติบโตเต็มที่ เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังสนุกสนาน อยากเล่น เพราะความเจริญด้านร่างกาย กามารมณ์ มาก่อน แต่ด้านอารมณ์และจิตใจยังโตไม่เต็มที่ เป็นช่วงเวลาที่ผู้ปกครองต้องดูแลเอาใจใส่ และคริสตจักรต้องสอน แนะนำตามทางพระวจนะของพระเจ้า ให้คำปรึกษา เพื่อเขาจะได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์ ทั้งถวายเกียรติพระเจ้าในการที่จะแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า
ในการเลือกคู่ครอง และวัยเหล่านี้ความรักมักจะอยู่ในลักษณะ ความหลงเสน่ห์ รักแรกพบ รักแบบโรแมนติก น้อยคู่ที่จะแต่งงานกันจริง เหตุผลเพราะทั้ง 2 ฝ่ายยังมีความรับผิดชอบไม่พอและเข้าใจว่ารักแล้วก็แล้วกัน แต่ความจริงมิใช่เท่านั้น เพราะการแต่งงานอยู่ร่วมกันนั้นหมายถึง ด้านเศรษฐกิจที่ทั้ง 2 ต้องวางแผนร่วมกันด้วย
การมีคู่ครอง และการเป็นโสด
1. ทำไมต้องมีคู่ครอง ?
1.1 เพื่อไม่ให้จิตใจมนุษย์ฟุ้งซ่าน (1คร.7:8-9)
1.2 เพื่อระงับการทดลองทางเพศ
1.3 เพื่อจะอุปถัมภ์ค้ำชูซึ่งกันและกัน (ปฐก.2:18)
1.4 เล้าโลมจิตใจ ซึ่งกันและกัน (ปฐก.2:23-24)
1.5 เพื่อขยายพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ (ปฐก.1:28)
1.6 เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า (อฟ.5:23-25, สภษ.18:22 )
1.7 คู่ครองเป็นของประทานจากพระเจ้า 1 ใน 3 สิ่งที่สำคัญที่ทรงประทานให้แก่มนุษย์ในโลกนี้ คือ
1. ภรรยา 2. พระเยซูคริสต์ 3. คริสตจักร
1.8 คู่ครองเป็นภาพที่แสดงถึงความรักของพระคริสต์ต่อคริสตจักร (อฟ.5:24)ได้อย่างชัดเจนที่สุด
2. ทำไมบางคนเป็นโสด ?
พระวจนะของพระเจ้าสนับสนุนให้มีคู่ครองและสนับสนุนให้บางคนเป็นโสด ให้โอกาสบางคนที่เลือก ดัง
นั้นคนที่มีคู่ครอง คนที่เป็นโสด หรือตั้งใจเป็นโสด ไม่ควรตำหนิหรือเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้รับของประทาน ภาระที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอยู่แล้ว
เหตุผลที่บางคนเป็นโสด
1. เป็นของประทาน (มธ.19:12)
2. ตั้งใจมุ่งมั่นรับใช้พระเจ้าอย่างเดียว (มธ.19:12)จึงเป็นโสดเพื่อทุ่มเท
3. มีปัญหาทางด้านสุขภาพร่างกายบางอย่าง จึงทำให้แต่งงานไม่ได้
4. เพื่อเห็นแก่บิดามารดา (ฐานะทางครอบครัวหรือเหตุผลบางอย่างภายในครอบครัว)
5. กลัวความยากลำบากเมื่อแต่งงาน
6. มีคนรัก แต่สามารถที่จะอยู่ได้โดยไม่มีเขาคนนั้น (1คร.7:37) และไม่เป็นทุกข์ อาลัย สามารถทำ
ใจได้ ตัดใจได้ หักห้ามอารมณ์ได้
การตั้งเป้าหมายในการเลือกคู่ครอง
ผู้ให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวคริสเตียนท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า พ่อ, แม่ ควรจะอบรมสอนลูกตั้งแต่อายุ 9-12ขวบ ในการมีเป้าหมายการเลือกคู่ครอง เพื่อเด็กจะได้เข้าใจและเมื่อโตขึ้นมาจะได้เลือกคู่ครองที่เหมาะสมและเมื่อถึงวันที่จะเลือกคู่ครอง เป็นการป้องกันไม่ให้เข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ ไม่เช่นนั้น เมื่อเด็กโตขึ้น โดยเฉพาะลูกหลานคริสเตียนบางคนที่ไม่ได้รับการสอนหรืออบรมตั้งแต่เด็ก ทำให้เกิดความสงสัยหรือเข้าใจผิด เมื่อเขาหรือเธอเริ่มสนใจเพศตรงกันข้าม ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนคิดเป็นสิ่งที่ถูก หรือผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย อารมณ์ ตามอายุของเขา
การสนใจต่อเพศตรงข้ามไม่ใช่สิ่งผิด แต่การที่เขาหรือเธอไม่มีความรู้สึกสนใจต่อเพศตรงข้ามเมื่อถึงเวลาอันควรต่างหาก คือสิ่งที่ผิดปกติ เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และให้ความสำคัญของคู่ครองเท่ากับปัจจัยสี่ที่มนุษย์ต้องการ ด้วยเหตุนี้เอง เราจำเป็นต้องมีการแนะนำให้หนุ่มสาวและบุตรหลานของเราได้รู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างหญิงให้เป็นคู่อุปถัมภ์ของชาย ( ปฐก.2:18 ) เพราะไม่ควรที่ชายจะอยู่คนเดียว การที่ชายหรือหญิงสนใจเพศตรงข้ามนั้น จึงไม่ใช่สิ่งผิด เราจะมาเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกคู่ครอง