วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อย่าปล่อยให้เงา.....มีชีวิต


ในวันอาทิตย์ที่ฝนตกหนัก ตอนกำลังจะไปโบสถ์ ความท้อและความขี้เกียจก็สนับสนุนความรู้สึกให้เข้าข้างตัวเอง "ไม่ต้องไปหรอก มันไม่มีอะไร" กลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น "ไม่ได้นะ!!! ต้องไป วันนี้พระเจ้าจะตรัสด้วย" หัวใจของความเป็นคริสเตียนถูกกระตุ้นขึ้นและ การตอบสนองเสียงนั้นก็มาถึง "ไปก็ไป" บรรยากาศโบสถ์ในวันนี้เหมือนเดิมทุกประการ       การนมัสการที่เย็นชา การอธิษฐานอย่างไม่มีใจคาดหวังเหมือนมาเป็นหน้าที่และช่างเหมือน  ซอมบี้ที่สุด
แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือ ชายผู้หนึ่งในเสื้อฟิตๆยืนจัดหนังสือเพื่อที่จะเอามาขาย จะว่าไปเค้าแต่งตัวไม่เหมือนคริสเตียนในโบสถ์เลยด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร จนกระทั่งเทศนา เค้าขึ้นไปยืนบนเวที จับไมค์ เซย์ฮัลโหลกับทุกคน สิ่งที่พูด.....เหมือนไม่ใช่คำเทศน์แต่มีฤทธิ์เดชมากมาย คำพูดง่ายๆที่ออกจากปาก เต็มไปด้วยการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนใจคนให้กลับใจ การนมัสการและวิธีการอธิษฐานก็ได้เปลี่ยนไปเพียงช่วงไม่กี่นาที      เรื่องราวชีวิตของชายผู้นี้ได้ถูกเปิดเผยหลังจากนั้น
เค้าเริ่มบทสนทนานึงที่ทำให้ทุกคนต้องตั้งใจฟัง นั่นคือผมเป็นเกย์ครับคนใน       คริสตจักรมองผู้ชายคนนั้นอย่างงงๆ "ถ้าคุณเป็นเกย์แล้วมาจับไมค์เทศน์ทำไม นี่ไม่ใช่คริสตจักรเกย์นะ" แต่เค้ากลับยิ้มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและตอบว่า แต่พระเจ้ารักผมและ  พระเจ้าเปลี่ยนผมได้เค้าเล่าว่าเค้าเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เริ่มเสพย์ยา ติดการมีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคนและเลิกไม่ได้ จนพ่อของเค้าทนไม่ไหวและไล่ออกจากบ้าน เค้าจำเป็นที่จะต้องหาเงินสำหรับใช้จ่ายและซื้อเฮโรอีน จึงเลือกทำธุรกิจบางอย่างเพื่อให้ได้เงินมา ธุรกิจง่ายๆนั้นคือ การค้าผู้หญิง เค้าส่งผู้หญิงขายไปเป็นโสเภณี ซึ่งมันสามารถทำเงินให้เค้ามากมาย สามารถใช้ชีวิตเสเพลในเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน จนวันนึงเสียงเรียกของพระเจ้าสำหรับคนเลวอย่างเค้าก็มาถึง ผ่านมิชชันนารีที่ประกาศกับกลุ่มโสเภณี ขอบคุณพระเจ้าที่นำความรอดไปถึงคนกลุ่มนี้รวมทั้งตัวเค้าด้วย 
หลายครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการประกาศ คิดว่าพระเจ้าทำการ เราไม่ได้มีหน้าที่ทำให้ต้นไม้โต แต่เราต้องหว่าน พระเจ้าสอนเราให้รักสวนองุ่นที่พระองค์เลี้ยง พระเจ้าสอนเราในการหว่านและเก็บเกี่ยว ผู้ชายคนนี้ก็เช่นกัน เค้ารับพระคัมภีร์ที่แจกฟรีมา พระเจ้า    ดลใจให้เค้าเปิดมันอ่านและสัมผัสใจทำให้เค้าอยากค้นหาความจริง เค้ายังเล่าอีกว่าพระเจ้าเปลี่ยนเค้าและความคิดเค้าในทุกทาง อีกทั้งท้าทายใจเค้าให้ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องง่ายและยากในชีวิต จนไม่มีซักเรื่องที่ให้พระเจ้าไม่ได้ เมื่อเค้ารับความรักจากพระเจ้าและรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปและมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รักเค้าทั้งๆที่เค้าเป็นแบบนี้ พระองค์เปลี่ยนเค้าจนมาถึงเรื่องที่ยากที่สุดคือ ให้หายจากการรักร่วมเพศ เราซึ่งเป็นผู้ฟังก็ตั้งคำถามกับเค้าเหมือนกันว่า ถ้าเรามีเพื่อนหรือญาติที่เป็นแบบเค้าเราจะช่วยยังไง คำตอบคือ "ล้มกี่ครั้งก็ต้องลุกครับ
เค้าถามว่าเวลาคุณทำผิดซ้ำๆเรื่องเดิมๆเคยนับมั้ยว่าผิดไปกี่ครั้ง แล้วคิดจะสู้กับมันจริงๆมั้ย เค้าตอบว่าผมล้มอยู่ 80 ครั้งและชนะด้วยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง พระเจ้าไม่เคยซ้ำเติมในการล้ม แต่เอื้อมพระหัตถ์ออกช่วยทุกครั้งที่ผมล้ม  พระเจ้าดูที่ใจและการตัดสินใจวินาทีต่อวินาที แน่นอนเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา แต่พระองค์ก็ไม่เคยทบความผิดบาปของเราและไม่ดูด้วยว่าอดีตของเราเป็นอย่างไร อดีตที่ว่าไม่ใช่ปีที่แล้วแต่มันคือวินาทีที่แล้ว ที่สำคัญคือ     พระเจ้าให้อภัยคุณแต่หลายครั้งคุณนั่นแหละที่ปรักปรำและไม่ให้อภัยตัวเองเค้ายังเล่าอีกว่า  ทุกวันนี้เค้าแต่งงาน มีภรรยาแสนดีที่รับเค้าได้แม้เค้าเป็นแบบนี้และมีลูกสาวที่น่ารักอีกสองคน ตัวเค้าณ. เวลานี้เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งหนึ่งในเมลเบิร์น โดยทำพันธกิจเพื่อช่วยเหลือกลุ่มรักร่วมเพศให้กลับใจ รวมทั้งจัดตั้งกลุ่มมิชชันนารีเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐไปยังกลุ่มผู้ติดยาเสพย์ติดและโสเภณี หลังการเทศนาจบลง มีการนมัสการขึ้นอีกครั้งด้วยความร้อนรนของผู้เทศน์และการกลับใจแสวงหาพระเจ้าของสมาชิกคริสตจักรที่ได้รับการแตะต้องใจ
ภาพของผู้ชายคนนึงเดินในที่มืดแต่หันหน้าเข้าหาความสว่างและเค้าก็เริ่มเข้าสู่ทางที่แสงจ้า ในขณะที่เค้าเดินอยู่ในความมืด เงาของเค้าไม่ปรากฏให้เห็น แต่พอเค้าเดินไปในที่ที่มีแสงสว่างมากเท่าไหร่ เงาของเค้ายิ่งชัดขึ้น เช่นเดียวกัน เวลาที่เราเดินอยู่ในความบาป เราจะมองไม่เห็นความผิดในอดีตของตัวเอง แต่เมื่อเราเดินหาพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เรารู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก และเห็นอดีตของตัวเองชัดขึ้น และชัดขึ้น เห็นความบาปที่เราทำชัดขึ้นเมื่อเราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น แต่เมื่อเราล้มลงในความบาป ล้มลงในเรื่องเดิมที่เกิดขึ้นในอดีต เราสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งโดยที่เงาไม่ได้ฉุดเราไว้และเงาไม่เคยฉุดเราได้ ถ้าไม่ใช่เราเองที่ตัดสินใจนั่งลงและบอกตัวเองว่าชั้นไม่เอาแล้ว ชั้นลุกไม่ไหว 

เงาไม่ได้มีชีวิต อดีตของเราเป็นแค่เรื่องราวที่อยู่ในความคิดที่เราจำได้ อย่าให้อดีตที่เราเคยพลาดมาเป็นตัวฉุดรั้งทำให้เราไม่สามารถเดินต่อไปได้ อย่าปล่อยให้พระหัตถ์พระเจ้าที่เอื้อมมาถึงเราเพื่อฉุดเราเสียเปล่า พระองค์ยังคงเฝ้ารอและฉุดเราขึ้นเสมอเมื่อเราล้มลง

โดย ครูแพรว

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เล็กน้อย แต่ ไม่เล็กน้อย

อาจารย์ท่านหนึ่งสอนเรื่องชีวิตของฟีลิปซึ่งเป็น       ผู้รับใช้ที่พระเจ้าพาเขาไปประกาศกับขันที ซึ่งณ.ตอนนั้นฟีลิปรับใช้   พระเจ้าอยู่ที่เยรูซาเล็มอย่างเกิดผลแต่พระเจ้าก็พาเขาออกมาเพื่อให้ประกาศและสอนพระคำแก่ขันทีผู้นั้น ซึ่งต่อมาขันทีผู้นี้ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐและนำคนอัฟริกันมาเชื่อพระเจ้า

ประเด็นที่น่าสนใจคือ สิ่งที่พระเจ้าให้ฟีลิปทำนั้น ถ้าคนทั่วไปมองคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะขณะที่งานในเยรูซาเล็มกำลังไปได้สวยแต่พระเจ้ากลับพาฟีลิปมาประกาศคนในถิ่นธุรกันดาร แต่เมื่อมองไปในอนาคตก็ต้องพูดได้ว่า พระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้า มองไกลและเป็นผู้ที่วางแผนได้อย่างล้ำเลิศเพราะขันทีผู้นี้เป็นคนนำความรอดไปสู่ชาวอัฟริกัน ถ้าฟีลิปไม่ทำหน้าที่ของเขาในวันนั้นและเลือกที่จะอยู่เยรูซาเล็ม ข่าวประเสริฐของพระเจ้าก็ไม่มีทางแพร่ออกไปแน่นอน

มนุษย์มักขีดเส้นให้พระเจ้าเดินตาม จะเอาอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น โดยคิดคำตอบไว้ล่วงหน้า แล้วก็บีบพระเจ้าให้อวยพรตามที่ตนต้องการ แล้วเอามาอวดอ้างว่านี่มาจากพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วมาจากตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะไม่งอกงามเกิดผล เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากความต้องการด้านเนื้อหนังเพื่อตอบสนองตนเองมีแต่เน่าเปื่อยและสลายไป แต่สำหรับพระเจ้านั้นสังเกตได้ว่าพระองค์มักทำในสิ่งที่มนุษย์ไม่คาดคิดเสมอ ไม่อาจคาดเดาแต่ผลที่ได้งอกงามและยั่งยืน เช่น การเดินรอบกำแพงเยรีโค ใครจะไปคิดว่าการเดินรอบกำแพงที่มีขนาดใหญ่ ขนาดรถม้าวิ่งบนกำแพงได้นั้น จะถล่มลงมาด้วยวิธีการที่แสนง่าย ไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีใครบาดเจ็บหรือแม้แต่โมเสส เส้นทางหนีชาวอียิปต์ดำเนินมาถึงทางตัน โมเสสเพียงวางไม้เท้าลง น้ำทะเลก็แยกออกและยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่พระเจ้าทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่พระองค์ทำต้องใช้คำว่า "อัศจรรย์" มานิยามเท่านั้น

“การสัตย์ซื่อแม้เพียงสิ่งเล็กน้อย” ใครว่าพระเจ้ามองไม่เห็น ทุกสิ่งที่เราทำพระองค์เห็น วันนี้ถ้าพระองค์ให้เราทำอะไรแม้มันจะดูเหมือนเล็กน้อยหรือต่ำต้อย จงทำมันให้ดีที่สุด สิ่งเล็กน้อยนี้จะเกิดผลเป็นแน่เมื่อเราทำถวายแด่พระเจ้า

ยกตัวอย่าง ทหารคนหนึ่งโดนจับไปเป็นเชลยของเยอรมัน เขาต้องไปเป็นทาสทำหน้าที่ยัดกระสุนปืน ซึ่งกระสุนนี้มีไว้สำหรับยิงเรือบินรบให้ตกลงมา ในขณะที่เกิดสงราม เรือบินรบของประเทศเขาโดนยิงที่ถังน้ำมันแต่เครื่องบินไม่เกิดระเบิด ในขณะลงจอด เมื่อมาเช็คที่ถังน้ำมันปรากฏว่า กระสุนที่ยิงมาที่ถังนำมันนั้น ถูกอัดด้วยกระดาษภายในแล้วทหารก็ต้องตกตะลึงมื่อกระสุนเม็ดหนึ่งใส่กระดาษแล้วมีตัวอักษรในกระดาษ แผ่นนั้นเขียนว่า "ตอนนี้ทำให้ได้แค่นี้ก่อนนะ" เป็นข้อความที่ทหารเชลยคนนั้นเขียนถึงประเทศของเขาและเขาช่วยให้ทหารในประเทศไม่ตายถึง 10 คน จากการที่เรือบินรบโดนยิง

ไม่มีคำบรรยายใดๆเมื่อฟังเรื่องเล่านี้จบ มีแต่เพียงการตอบสนองต่อพระเจ้าว่า "สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อยที่พระองค์ให้ทำ" เพราะวันนี้เรามองไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำจะงอกงามเป็นอะไร ขอให้เชื่ออย่างหนึ่งว่าพระเจ้าไม่เคยดูหมิ่นในสิ่งที่เราทำแด่พระองค์เลย พระองค์จะทำให้สิ่งนั้นงอกงามและเกิดผลแน่นอน เพียงแต่ท่าทีของเราคือ
ไม่มีเจตนาแอบแฝงแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น

โดย โปรดปราน